กรีซลี
มาร์ค-วัน
กรีซลี เป็นชื่อเรียกหมีสีน้ำตาลของทวีปอเมริกันตอนเหนือ ตัวใหญ่พอๆกับหมีควายบ้านเรา แต่ดุร้ายกว่ากัน เพราะหมีกรีซลีเป็นสัตว์กินเนื้อโดยธรรมชาติ อเมริกาไม่มีเสือโคร่งหรืองูจงอางอย่าง แถบเอเชีย แล้วก็ไม่มีสิงโต ควายป่า กับช้างหนักสองตันอย่างเช่นแอฟริกา หมีกรีซลีนี่ล่ะครับ เป็นสัตว์อันตรายที่สุดของเขาแล้ว ดังนั้น ในเมื่อโรงงาน L.A.R. ทำปืนในสไตล์ M1911 ที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดขึ้นมา จึงได้นำเอาชื่อหมีกรีซลีมาใช้เป็นชื่อปืน ซึ่งก็นับว่าตั้งชื่อ ได้เหมาะสมแล้วละครับ เพราะว่ากรีซลีกระบอกนี้จัดเป็น M1911 ที่มีน้ำหนักมากถึง 3 ปอนด์ และยังทำเฉพาะกระสุนแรงสูงเท่านั้น ขนาดเบาที่สุดก็คือ 9 มม.พาราเบลลัม, .30 เมาเซอร์ ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง .50 AE
บริษัท L.A.R.
เริ่มผลิตปืนกรีซลีเข้าสู่ตลาดในปี ค.ศ.1984 หลักการก็คือนำปืน 1911 มาขยาย
โครงด้ามให้กว้างขึ้น แต่ยังหนาเท่าเดิมเพื่อให้รับกับซองกระสุนที่ใส่กระสุนยาวๆ
การวัดแรงอัดในรังเพลิงสมัยก่อนจะต้องทำให้ลำกล้องทดลองที่เจาะรูทะลุลงไปถึงรังเพลิงแล้วสอด แท่งทองแดงลงไปในรูปลายข้างหนึ่งยันอยู่กับปลอกกระสุน อัดด้านบนให้แน่นด้วยเกลียวยึดจนได้ มาตรฐานแล้วยิง จากนั้นก็นำแท่งทองแดงออกมาวัดความยาวว่าโดนแรงอัดกดให้สั้นลงไปเท่าไหร่ นำมาคำนวณเป็นแรงอัดในรังเพลิงได้ แต่ถ้าเป็นกระสุนอ่อนๆที่ทองแดงไม่ยอมยุบตัวก็ เปลี่ยนเป็นแท่งตะกั่วแทน แต่ในสมัยนี้เขาจะวัดด้วยทรานสดิวเซอร์ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ทางไฟฟ้า ใช้งานได้สะดวกกว่าเพราะไม่ต้องใช้ลำกล้องพิเศษ วัดจากปืนธรรมดาได้เลย โดยนำเซ็นเซอร์มาแนบกับลำกล้องปืน ก็จะแปรผลออกมาเป็นแรงอัดขึ้นจอให้ดูทันที ถึงแม้จะวัดด้วยทรานสดิวเซอร์แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดมาตรฐานขึ้นใหม่ แต่ยังใช้ CUP เหมือนเดิม
ในเมื่อแรงอัดไม่เกิน
40,000 ปอนด์ ก็หมายความว่ารังเพลิงขนาด .45 ของ M1911 ทนไหว ไม่ต้องเปิดตำรากันให้วุ่นวายจนเกินเหตุหรอกครับ
ดูด้วยตาแวบเดียวก็ยังเห็นว่ารังเพลิงของ 1911 หนากว่าช่องลูกโม่ของปืน .44
อยู่แล้ว ในปืนลูกโม่นั้น ปลอกกระสุนมันอยู่นิ่งๆในช่องโม่เพราะว่ามี โครงปืนกั้นเอาไว้
แต่สำหรับปืนออโตแล้ว สไลด์มีการถอยหลังเพื่อถอนปลอกกระสุนออกจากรังเพลิง
ถึงแม้ว่าจะเป็นระบบรีคอยล์ซึ่งให้ลำกล้องถอยมากับสไลด์หน่อยหนึ่งก็ตาม สำหรับปืนเดสเซิร์ท อีเกิล หรือว่า ไวล์ดี้ (Wildey) ซึ่งใช้ระบบก๊าซอ็อพเพอเรท จะออกแบบได้ง่าย เพราะปืนระบบก๊าซจะถ่วงเวลาด้วยการทำให้ปลดกลอนช้าขนาดไหนก็ได้ แต่ข้อเสียของปืนระบบก๊าซก็คือทำให้ปืนมีขนาดใหญ่โตเกินไป กรีซลีจะใช้วิธีสู้กับแรงถอยอย่างรุนแรงด้วยการเพิ่มน้ำหนักสไลด์ขึ้นไปอีก 50% เมื่อเทียบกับโคลท์ ซึ่งยังไงๆก็ยังได้ปืนที่มีขนาดกะทัดรัดดีกว่าปืนระบบก๊าซ แต่จะออกแบบ ยากกว่าเพราะระบบรีคอยล์ของบราวนิงจะปลดกลอนด้วยการลดท้ายลำกล้อง เวลา เอามาใช้กับกระสุนยาวๆอาจจะขัดตัวได้ ทำให้ต้องปรับแต่งปืนกันอย่างประณีตให้ เข้ากับกระสุนในแต่ละขนาด สไลด์ที่หนักขึ้นจะช่วยให้ถอยช้าลง
คล้ายๆรถบรรทุกหรือคนอ้วนนั่นละครับ กว่าจะขยับออกตัวได้ก็ต้องใช้แรงมาก
และใช้เวลากันพอสมควร อีกจุดหนึ่งที่ช่วยให้ สไลด์ถอยช้าลงก็คือเมนสปริงหรือสปริงนก
เนื่องจากในปืนระบบที่ใช้นกปืนอย่างเช่นโคลท์ 1911 นั้น นกปืนจะช่วยต้านสไลด์เอาไว้
โดยเฉพาะในช่วงเริ่มถอย ดังนั้น ปืนที่ใช้ กระสุนแรงสูงจะต้องใช้สปริงนกขนาดมาตรฐานเสมอ
ห้ามลด ห้ามตัดเด็ดขาด
ปืนกรีซลีที่ออกมารุ่นแรกในปี
ค.ศ. 1984 นั้นยังไม่เรียกว่ามาร์ค-วัน ตอนปี 84 นั้นเป็นปีสุดท้ายที่ยังมีโคลท์
ซีรีส์ 70 ขายกันอยู่ ราคาของโคลท์ในกันส์ไดเจสต์คือ 419.95 เหรียญ ส่วนกรีซลีขาย
749.95 เหรียญ กับคอนเวอร์ชั่นอีกชุดละ 169.95 เหรียญ ในตอนนั้นปืนที่พอจะเป็นคู่แข่งกับกรีซลีก็คือเดสเซิร์ทอีเกิล
ซึ่งตอนนั้นยังเรียกว่า "อีเกิล" เฉยๆ และยังทำเฉพาะขนาด .357
แถมยังมีรูปร่างอัปลักษณ์ชอบกล รุ่งขึ้นปี ค.ศ.1985 กรีซลียังขายราคาเดิมแต่เริ่มเรียกว่าเป็นรุ่นมาร์ค-วัน แล้ว คงจะเป็นการเตรียมที่จะออกรุ่นมาร์ค-ทู ในปีถัดไป ส่วนโคลท์ก็ส่งปืนซีรีส์ 80 ออกมา เป็นปีแรกและปรับราคาขึ้นมาเป็น 459.50 เหรียญ สำหรับโคลท์ซีรีส์ 80 รุ่นแรกมา อยู่กับผมกระบอกหนึ่งและใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้ จำได้ว่าซื้อมาจากโครงการสวัสดิการ ดูเหมือนว่าราคาเจ็ดพันกว่าบาท ส่วนอีเกิลก็ตกแต่งรูปร่างหน้าตาใหม่มาเหมือนกับในปัจจุบัน
และเปลี่ยนชื่อมาเป็นเดสเซิร์ทอีเกิล แต่ขายในราคาเดิมและยังคงทำเฉพาะ .357
เดสเซิร์ทอีเกิลมาทำขนาด .44 แม็กนั่มในปี ค.ศ.1988 หรืออีก 3 ปีถัดมาโดยตั้งราคาไว้กระบอกละ
699 เหรียญ และในปี 88 นั้นเอง กรีซลีก็ได้ผลิต สำหรับกรีซลี
มาร์ค-ทู คือไม่มีอะไรแปลกใหม่ คือเป็นมาร์ค-วัน แบบศูนย์ตาย แล้วก็มีเซฟข้างเดียวแต่เข้าใจว่าคงไม่มีใครซื้อ
เพราะทำออกมาในปี ค.ศ.1986 แล้วก็ปิด สายการผลิตม้วนเสื่อกลับไปในปีเดียวกันนั้นเอง
ส่วนมาร์ค-ทรี ไม่มีประวัติ เรื่องราวของกระสุน
.45 วินฯแม็กฯ เริ่มในปี ค.ศ.1977 เมื่อวินเชสเตอร์เอาปลอกกระสุน 9 มม. พาราเบลลัมและปลอก
.45 ACP มายืดให้ยาวขึ้นเป็น 9 มม. วินฯแม็กฯ และ .45 วินฯแม็กฯ สำหรับ 9
มม. วินฯแม็กฯ นั้นหายไปจากท้องตลาดนานแล้ว แม้แต่วินเชสเตอร์เองแท้ๆ ก็ยัง
ไม่ทำปลอกกระสุนออกมาให้อัดกันเองที่บ้านเลยด้วยซ้ำ ส่วน .45 วินฯแม็กฯ ออกจะสดใสกว่าเพราะยังมีทั้งปลอกกระสุนและกระสุนสำเร็จรูปขายอยู่ตามปกติ
ในปัจจุบัน มีวินเชสเตอร์เพียงโรงงานเดียวที่ผลิตกระสุนขนาด .45 วินฯแม็กฯ
โดยทำออกมา 3 แบบ
ปืนที่ใช้กับกระสุน
.45 วินฯแม็กฯ แบบแรกก็คือ ไวล์ดี้ ซึ่งเป็นปืนระบบก๊าซ ต่อจากนั้นก็เป็นปืนบรรจุเดี่ยว
ธอมป์สัน TC ซึ่งเจ้านี่ไม่ว่ามีกระสุนอะไรออกมาใหม่ TC เป็น ต้องขอแจมกับเขาด้วยทุกที
หลังจากนั้นอีกห้าหกปีต่อมาพอ L.A.R. เริ่มทำปืนกรีซลี ก็ไม่รั้งรอที่จะบรรจุกระสุน
.45 วินฯแม็กฯ เป็นกระสุนมาตรฐานของกรีซลีไปเรียบร้อยโรงเรียนหมี และนับตั้งแต่กรีซลีออกสู่ตลาดก็ดูเหมือนจะเป็นปืนที่อยู่คู่กับ
.45 วินฯแม็กฯ กรีซลีถูกปิดสายการผลิตลงไปเมื่อสองปีก่อน ผมลองเปิดกันส์ไดเจสต์ย้อน กลับไปดูเล่มล่าสุดที่ยังมีรายการของกรีซลี ก็คือปี 1999 โดยเหลือเฉพาะมาร์ค-วัน กับ มาร์ค-ไฟว์ สำหรับมาร์ค-วัน มีขนาด .45 วินฯ แม็กฯ กับ .357 แม็กฯ แล้วก็คอนเวอร์ชั่น ที่เหลือเฉพาะ .357 แม็กฯ, .45 ACP, 10 มม., .45 วินฯแม็กฯ และ .357/45 วินฯแม็กฯ ตัวปืนราคา 1,000 เหรียญ คอนเวอร์ชั่น 233-248 เหรียญ ส่วนมาร์ค-ไฟว์ ราคาแพงกว่าหน่อย 1,152 เหรียญ มีเฉพาะ .50AE แต่มีคอนเวอร์ชั่น .44 แม็กฯ, .45 ACP, .45 วินฯแม็กฯ และ .357/45 วินฯแม็กฯ ส่วนกรีซลี
มาร์ค-วัน ที่เรานำมาทดสอบในฉบับนี้เป็นปืนเก่าเก็บ ตัวที่โชว์ ปกหน้าเป็นรุ่นโครงปืนชุบฮาร์ดโครม
สไลด์ รมดำฟอสเฟต ส่วนกระบอกที่ทดสอบจะรมดำฟอสเฟตด้านทั้งกระบอก ความรู้สึก
ครั้งแรกที่จับก็คือปืนหนักมากเพราะน้ำหนักปาเข้าไป 3 ปอนด์ พอๆกับรูเกอร์เรดฮอว์ก
แต่พอลองดึงสไลด์ดูก็พบว่าไม่หนักแรงเท่าไหร่ ลองถอดออกมากดรีคอยล์สปริงดู
คนที่จะใช้กรีซลีต้องมือใหญ่พอสมควร เพราะด้ามปืนกว้างมาก คนมือเล็กใช้ด้ามปืน หนายังจับได้ถนัดดีกว่าด้ามกว้าง แต่ถ้าเข้ามือได้เหมาะเจาะดีแล้วจะรู้สึกกระชับดีทีเดียว เพราะอาศัยโครงด้ามของ 1911 ซึ่งเป็น ธรรมชาติดีอยู่แล้ว ด้ามมาตรฐานของกรีซลี จะใช้แก้มประกับด้ามที่สั่งเป็นพิเศษมาจากแพชเมียร์ทำให้ยิงได้สบายมือดีทีเดียว นายห้างฯ ต้อยแห่งห้างฯ ปืนสันทนา มอบกระสุนวินเชสเตอร์แบบมาตรฐาน ซึ่งใช้หัว 230 เกรน ความเร็ว 1,400 ฟุต/วินาที ซึ่งเป็นกระสุน .45 วินฯแม็กฯ ที่ดุเดือดที่สุด และน่าจะเป็นการทดสอบปืนออโตที่ใช้กระสุน แรงที่สุดเท่าที่ อวป. เคยทำกันมา เนื่องจาก กระสุนวินเชสเตอร์รุ่นนี้มีพลังงานถึง 1,001 ฟุต-ปอนด์ เหนือกว่า .44 แม็กนั่มเสียอีก กระสุนที่แรงกว่านี้จะต้องเป็น .357 แม็กซิมั่ม, .440 คอร์บอนหรืออีกทีก็ต้องเป็น .454 คาซูล กับ .50AE นั่นละครับ ถึงจะข่ม .45 วินฯแม็กฯ แบบหัว 230 เกรนได้ สำหรับกระสุน .45 วินฯแม็กฯ รุ่นหลังๆ จะเพิ่มน้ำหนักหัวขึ้นเป็น 260 เกรน ความเร็วลดลงเป็น 1,250 ฟุต/วินาที ทำให้มีพลังงานลดลงเหลือ 902 ฟุต-ปอนด์ ต่ำกว่า .44 แม็กนั่ม อวป. นำกรีซลี .45 วินฯ แม็กฯ กระบอกนี้ไปยิงทดสอบที่สนามยิงปืนราชนาวี ที่บางนาเหมือนเช่นเคย เมื่อเราวัดความเร็ว กระสุนก็ปรากฏว่าลำกล้อง 5.4 นิ้วของ กรีซลีทำความเร็วเฉลี่ยได้ 1,298 ฟุต/วินาที ต่ำกว่ามาตรฐานที่วัดจากลำกล้อง 6.5 นิ้ว ประมาณ 100 ฟุต/วินาที แต่ยังไงๆ เรา ก็ต้องไปตั้งเป้าที่ด้านขวาสุดของสนาม ซึ่ง เป็นช่องยิงที่จัดไว้สำหรับกระสุนไรเฟิล เนื่องจากทางสนามเกรงว่าแผ่นเหล็ก แบ็กสต๊อปธรรมดาอาจจะกั้นกระสุนไม่ไหว
ปืนกรีซลีกระบอกนี้ยังมีคอนเวอร์ชั่นอีก 2 ชุดเป็นขนาด .357 แม็กนั่ม และ.45
ACP ที่จริงในวันนั้นเราทดลองเปลี่ยนคอนเวอร์ชั่นทั้ง 2 ชุดมาลองยิงดูแล้ว
และให้ความประทับใจได้พอๆกับ .45 วินฯแม็กฯ แต่พอดีหน้ากระดาษของเราหมดแล้วจึงขอ
ยกยอดไปพูดถึงคอนเวอร์ชั่นทั้งสองชุดนี้ในฉบับหน้า สำหรับผู้ส่งทดสอบคือ
ห้างฯ ปืน สันทนา ส่วนการต่อรองราคาหรือจะซื้อแยกเฉพาะตัวปืนหรือคอนเวอร์ชั่นได้หรือเปล่า
รวมทั้งการขอใบ ป.3 จะต้องระบุรายละเอียดกันอย่างไร ขอเฉพาะตัวปืนแยกกับคอนเวอร์ชั่น
หรือต้องรวมคอนเวอร์ชั่นด้วย ก็ลองโทรฯ ไปสอบถามได้ที่หมายเลข 02-225-8798, |
||||||||
นิตยสารอาวุธปืน
ฉบับที่ 327 มกราคม 2545 มีวางจำหน่ายตามแผงหนังสือทั่วประเทศ
|
Copyright
©2000 www.gunsandgames.com
Powered by eighteggs.com